วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรื่องที่ 3

หลายๆท่านคงจะเจอปัญหานี้คือสามารถแตก File ที่มีขนาดใหญ่กว่า 4 GB ได้เพราะอะไรแล้วจะทำยังไงมาดูกัน
โดย : เจ้าชายแห่งรัตติกาล เมื่อ : 26 กรกฎาคม 2011 15:15
จำนวนการเข้าชมหน้านี้ทั้งหมด : 8791 ครั้ง

จากหัวข้อนี้เราจะเผยถึงปัญหาที่หลาย ๆ ท่านอาจทราบแล้วแต่สำหรับมือใหม่หรือมือปานกลางบางท่าน อาจจะยังไม่ทราบ ในกรณีที่เราทำการ copy ไฟล์ที่มีขนาดใหญ่เกินกว่า 4GB ทำไม่มันถึงก๊อบไม่ได้สักที หรือ แตกไฟล์ zip ที่มีขนาดใหญ่ก็ทำไม่ได้ 


ปัญหานี้ถ้าไฟล์ต้นฉบับไม่พังก็จะเกิดจากการที่ระบบไฟล์บน Hardisk ที่เราลง windows XP ในขั้นตอนการติดตั้งเราอาจทำการ format เป็นแบบ Fat32 ซึ่งไม่รองรับไฟล์ขนาดใหญ่เกิน 4GB ต่อไฟล์เนื่องจากระบบไฟล์ Fat32 เป็นระบบไฟล์แบบเก่าในปัจจุบันเราจะใช้ระบบไฟล์แบบ NTFS ( บนระบบปฏิบัติการของ Windows ) ซึ่งระบบไฟล์ NTFS มีข้อดีกว่า FAT32 อย่างมากทั้งการรองรับไฟล์ขนาดใหญ่และการจัดเก็บข้อมูลทำให้เราสามารถแตก File หรือคัดลอกไฟล์ที่มีขนาดใหญ่กว่า 4 GB ได้


Image



รูปด้านบนจะเป็นการแจ้งเตือนกรณีที่ระบบไฟล์ไม่รองรับไฟล์ขนาดใหญ่ซึ่งระบบไฟล์ Fat32 ไม่รองรับไฟล์ขนาดใหญ่

สังเกตุบรรทัดที่สองที่จะบอกว่าต้องใช้ระบบไฟล์ NTFS เท่านั้นถึงจะรองรับไฟล์ขนาด 4GB ขึ้นไปได้

การตรวจสอบระบบไฟล์ในแต่ละไดร์ของเราให้เราคลิกเมาส์ขวาในไดร์ที่ต้องการแล้วเลือที่ property จะแสดงระบบไฟล์ดังแสดงในรูปด้านล่างรูปขวาจะเป็นระบบไฟล์ NTFS ซ้ายเป็น FAT32


การแก้ไขผมเคยนำมาลงไว้นานแล้วครับแต่บทความนั้นเป็นบทความการแปลงเฉยๆ  ไม่ได้กล่าวถึงปัญหา เลยเอาเรื่่องเก่ามาเล่่าใหม่อีกรอบเลยละกัน การแก้ไขวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องลงระบบปฏิบัติการใหม่เราจะทำการแปลงระบบไฟล์เพียงเท่านั้น

ในการเปลี่ยนระบบไฟล์โดยไม่ต้องลงระบบปฏิบัติการ Windows ใหม่ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้


1. คลิ๊ก Start > Run



2. Copy คำสั่งนี้ไปใส่ในช่อง Open : 
ถ้าต้องการเปลี่ยน Drive C: ให้เป็นระบบไฟล์ NTFS ให้พิมพ์ในกล่องรันว่า
convert C: /fs:ntfs

ถ้าต้องการเปลี่ยน Drive D:
convert D: /fs:ntfs 


Image


 3. จากนั้นจะให้เราใส่ Volume Label ของไดร์ฟที่เราจะเปลียน แล้วกด Enter ซึ่งตัว Volume Lable นี้ ก้คือ ชื่อ ของ Drive นั่น เอง



4. จากนั้นจะขึ้นมาถามไห้เราพิม Y แล้วกด Enter เพื่อเป็นการยืนยันการเปลี่ยนแปลง

เมื่อเสร็จสิ้นครบขั้นตอนแล้วให้ทำการรีสตาร์ทเครื่องเราหนึ่งครั้งเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงระบบไฟล์ของเครื่องเราครับ

เราก็จะได้ระบบไฟล์ ที่เปลี่ยนแปลงแล้วครับ


Image

Image

เรื่องที่ 2

เราได้รู้จักกับ Windows XP มาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วแต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่ามันมีโปรแกรมซ่อนอยู่ซึ่งมีส่วนช่วยในการใช้งานอย่างมากอาจคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
โดย : เจ้าชายแห่งรัตติกาล เมื่อ : 6 ธันวาคม 2011 09:56
จำนวนการเข้าชมหน้านี้ทั้งหมด : 4008 ครั้ง

เรา ๆ ท่าน ๆ ได้รู้จักกับ Windows XP มาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วแต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่ามันมีโปรแกรมซ่อนอยู่ตั้ง 23 โปรแกรมซึ่งมีส่วนช่วยในการใช้งานได้อย่างมากอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ซึ่งถ้าเราไม่รู้จักมันมาจากการที่จำเป็นต้องใช้มันนั้นเราจะไม่มีทางได้ใช้มันเลย เพราะบางโปรแกรม มันไม่อยู่ใน StartMenu หรือมีช่องทางให้เราเข้าใช้งานได้ง่าย ๆ เลยบางโปรแกรมถึงติดตั้งมาโดยที่เอาออกไม่ได้ บางโปรแกรมเป็นโปรแกรมที่มาจากวินโดว์รุ่นก่อน มาดูกันว่า 23 โปรแกรมนั้นมีอะไรบ้าง

วิธีการใช้ก็เข้าที่ Start -> Run -> พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้เพื่อเรียกแต่ละโปรแกรมขึ้นมใช้งานหรือเอามาดูเล่นก็ไม่เสียหาย

1. charmap.exe = Character Map เป็นโปรแกรมแสดงอักขรต่าง ๆ รวมทั้งตัวอักษาของ font บนเครื่องของเราเป็นโปรแกรมมีประโยชน์มากสำหรับใช้พิมพ์อักขระพิเศษ


2.cleanmgr.exe = Disk Cleanup เอาไว้ทำความสะอาดหรือ Clear พื้นที่ไฟล์ขยะที่อยู่บนเครื่องของเรา


3. clipbrd.exe = Clipboard Viewer ดูข้อมูล ในคลิปบอร์ดที่เราได้ทำการบันทึกไว้อาจมาจากเว็บต่่าง ๆ ที่เราแอดไว้ในคลิปบอร์ด


4. drwtsn32.exe = Dr Watson โปรแกรมที่ใช้ตัวสอบว่าวินโดว์มีปัญหาเพราะอะไรต้องมีความรูสักนิดหนึ่งถึงจะดูออกนะครับตัวนี้สมัย 98 ใช้กันเป็นปกติเลย

5.dxdiag.exe = DirectX diagnosis โปรแกรมตรวจสอบอุปกรณ์ว่า สนับสนุน DirectX หรือไม่และแสดงรายชื่อไฟล์ที่เกี่ยวข้องที่สำคัญเอาไว้ดูด้วยว่าการแสดงผล สามมิติว่ายังปกติหรือไม่


6.eudcedit.exe = Private character editor โปรแกรมที่อนุญาตให้เราแก้ไขฟอนต์ หรือทำฟอนต์เองได้โปแกรมนี้สมัยก่อนใช้เล่นแก้ว่างได้ดีนักเอาไว้สร้างฟ้อนของเราเองเอาไว้ใช้เท่ห์บางทีต่อไปอาจมีชื่อฟ้อนที่ใช้กันทั่ว ๆ ไปเป็นชื่อเราก็ได้ จะได้ไม่้ต้องไปพึ่งคุณอังสนาซึ่งผมก็เคยใช้สมัยก่อนอยากจะเห็นหน้าคนทำเหมือนกัน หะๆ


7.iexpress.exe = IExpress Wizard โปรแกรมที่สร้างไฟล์ Setup ของวินโดว์เอาไว้สำหรับคนที่เขียนโปรแกรมบนวินโดว์แต่เดียวนี้เขียนจาก VB ก็จะมีตัวสรางมาให้อยู่แล้ว

8.mobsync.exe = Microsoft Synchronization Manager โปรแกรมที่คอยเก็บหน้าเว็บหรือไฟล์บนเครือข่าย เอาไว้ดูตอน offline ได้

9.mplay32.exe = Windows Media Player 5.1 ไว้รำลึกความหลังโปรแกรมดูหนังประจำเครื่องสมัยก่อน

10.odbcad32.exe = ODBC Data Source Administrator โปรแกรมไว้จัดการกับฐานข้อมูลซึ่งใครที่เขียนโปรแกรมด้วย foxpro หรือใ้ช้ฐานข้อมูลแปลกก็คงจะรู้จักกันดีละ


11.packager.exe = Object Packager โปรแกรมที่ใส่พวก Objects ต่างๆ ลงในไฟล์ได้เจ๋งมากๆอันนี้


12.perfmon.exe = System Monitor โปรแกรมนี้ มีประโยชน์มาก ไว้ตัวสอบประสิทธิภาพของวินโดว์


13.progman.exe = Program Manager เชลล์ไฟล์ของวินโดว์ 3.11 รุ่นก่อน 95 อีนนะ ใครอยากลองสัมผัสกับวินโดวส์รุ่นพระเจ้าเหาลองไปดูกัน

14.rasphone.exe = Remote Access phone book โปรแกรมที่เอาไว้ติดต่อหรือเข้าถึงข้อมูลของเครื่องที่อยู่ในเครื่องอื่นไม่เคยใช้เหมือนกันอันนี้นะครับคงคล้าย ๆ กับรีโมทย์เดสท๊อบละ

15.regedt32.exe = Registry Editor [เหมือนกับ regedit.exe] ไว้ใช้สำหรับแก้ไข Registry ของวินโดว์อันนี้ถ้าไม่แน่ใจก็อย่าไปยุ่งกับมันเลยครับอันตรายอาจถึงขั้นต้องลงวินโดวส์ใหม่เลยถ้าไปปรับแต่งอะไรเยอะๆ


16.shrpubw.exe = Network shared folder wizard เป็นโปรแกรมช่วยสร้างแชร์โฟดเดอร์บนเครือข่าย LAN

17.sigverif.exe = File siganture verification tool (โปรแกรมตรวจสอบ signature ของไฟล์)

18.sndvol32.exe = Volume Contro โปรแกรมไว้ปรับระดับเสียงไง อันเดียวกับรูปลำโพงตรง tray icon

19.sysedit.exe = System Configuration Editor โปรแกรมแก้ไข system.ini กะ win.ini

20.syskey.exe = Syskey Secures XP Account database – เป็นโปรแกรมที่ใช้ เข้ารหัสรหัสผ่านของวินโดว์ กรุณาใช้อย่างระมัดระวัง

21.telnet.exe = Microsoft Telnet Client โปรแกรม telnetเป็นโปรแกรมรีโมทย์เครื่องซึ่งปัจจุบันก็ยังมีคนใช้กันอยู่เหมือนกันแต่ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่อาจถูกดักรหัสผ่านกลางทางได้

22.verifier.exe = Driver Verifier Manager โปรแกรมตรวจสอบ driver ต่างของวินโดว์ใช้สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องไดร์เวอร์

23.winchat.exe = Windows for Workgroups Chat โปรแกรม chat รุ่นเก๋ามีเฉพาะในวินโดว์ ตระกูล NT ขอบอกว่าใช้กันในวงแลนได้ด้วย เอาไว้เล่นกันในที่ทำงานหรือในห้องเรียนก็ไม่เสียหาย บางทีคนไม่รู้จักอาจคิดว่าคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ระดับเทพก็ได้ที่เรียกใช้โปรแกรมเทพๆที่พวกเขาไม่เคยเห็น หะๆ

พอดีไปเจอบทความดี ๆ ที่มีคนใส่ไว้แต่เอามาจากหลาย ๆ ที่เลยไม่รู้จะให้เครติดใคร และก็ได้เพิ่มเติมบางส่วนไปด้วย ยังไงก็แบ่งปันกันครับความรู้เพิ่มเข้าไปไม่เสียหาย อาจมีประโยชน์บ้างสำหรับบางท่าน บางโปรแกรมก็เอาไปลองอย่างระมัดระวังด้วยครับ

แหล่งที่มา: http://www.superict.com/component/viewrecord.php?id=681&section_id=1&catagory_id=1

เรื่องที่ 1

คอมพิวเตอร์ คืออะไรและประวัติคอมพิวเตอร์มีความเป็นมาอย่างไร

        คอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการทำงานแบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อนตามคำสั่งของโปรแกรม มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์" ขั้นตอนการทำงานจะประกอบด้วย การรับโปรแกรมและข้อมูลในรูปแบบที่เครื่องสามารถรับได้ แล้วทำการคำนวณ เคลื่อนย้ายเปรียบเทียบ จนกระทั่งได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

ขั้นตอนการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้

Computer

        ประเภทของคอมพิวเตอร์ถ้าจำแนกตามลักษณะ วิธีการทำงานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์แบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ คือ แอนะล็อกคอมพิวเตอร์ (Analog Computer) และดิจิทัลคอมพิวเตอร์ (Digital Computer)

Analog Computer (แอนะล็อกคอมพิวเตอร์)
        แอนะล็อกคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ใช้ค่าตัวเลขเป็นหลักของการคำนวณ ไม้บรรทัดคำนวณถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ โดยใช้ไม้บรรทัดที่มีขีดแสดงตำแหน่งของตัวเลขการคำนวณจะใช้ไม้บรรทัดหลายอันมาประกอบเพื่อหาผลลัพธ์ เช่น การคูณ ซึ่งจะเป็นการเลื่อนไม้บรรทัดหนึ่งให้ไปตรงตามขีดตัวเลขที่เป็นตัวตั้งและตัวคูณในไม้บรรทัดหนึ่ง แล้วไปอ่านผลคูณที่ขีดตัวเลขซึ่งอยู่บนอีกไม้บรรทัดหนึ่ง แอนะล็อกคอมพิวเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์จะใช้หลักการทำนองเดียวกัน โดยใช้แรงดันไฟฟ้าแทนขีดตัวเลขตามแนวยาวของไม้บรรทัด
        แอนะล็อกคอมพิวเตอร์จะมีลักษณะเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่แยกส่วนทำหน้าที่เป็นตัวกระทำและเป็นฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ จึงเหมาะสำหรับงานคำนวณทางวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมที่อยู่ในรูปของสมการทางคณิตศาสตร์ เช่น การจำลองการบิน การศึกษาการสั่นสะเทือนของตึกเนื่องจากแผ่นดินไหว เป็นต้น ใน
        ปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ เพราะผลการคำนวณมีความละเอียดน้อย ทำให้มีขีดจำกัดใช้ได้กับงานเฉพาะบางอย่างเท่านั้น ปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นแอนะล็อกคอมพิวเตอร์เท่าไรนัก เพราะผลการคำนวณมีความละเอียดน้อย ทำให้มีขีดจำกัดใช้ได้เฉพาะงานบางอย่างเท่านั้น

Digital Computer (ดิจิทัลคอมพิวเตอร์)
        ดิจิทัลคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานเกี่ยวกับตัวเลข ค่าตัวเลขของการคำนวณในดิจิทัลคอมพิวเตอร์จะแสดงเป็นหลัก แต่จะเป็นระบบเลขฐานสองที่มีสัญลักษณ์ตัวเลขเพียงสองตัว คือ 0 และ 1 เท่านั้น โดยสัญลักษณ์ทั้งสองตัวนี้ จะแทนลักษณะการทำงานภายในซึ่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ต่างกัน การคำนวณภายในดิจิทัลคอมพิวเตอร์จะเป็นการประมวลผลด้วยระบบเลขฐานสองทั้งหมด เครื่องดิจิทัลคอมพิวเตอร์หรือนิยมเรียกสั้นๆ ว่า คอมพิวเตอร์ กำลังได้รับความนิยมกันมากในขณะนี้ และพบเห็นอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน

วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
        จุดเริ่มต้นในการคิดค้นเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเกิดจากความต้องการในการนับ และคิดคำนวณของมนุษย์โดยในยุคแรกคือช่วงคริสต์ศักราช 1200 การคิดคำนวณยังไม่ซับซ้อน ในประเทศจีนมีการใช้อุปกรณ์ช่วยในการนับที่เรียกว่าลูกคิด (abacus) ต่อมาเมื่อมนุษย์ต้องการการคิดคำนวณที่ซับซ้อน และต้องอาศัยเครื่องมือช่วยงานที่มีความสมารถหลากหลาย จึงได้มีการพัฒนาเครื่องช่วยคำนวณที่ซับซ้อนแล้วก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งในยุคปัจจุบันเรามีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการคำนวณงานและประยุกต์ใช้งานได้หลายประเภท เช่น การสื่อสาร การประมวลผลข้อมูลหรือแม้แต่ให้ความบันเทิง นอกจากนั้นรูปลักษณ์ของคอมพิวเตอร์ยังพัฒนาจนมีขนาดเล็กง่ายต่อการพกพา

2.Pascal
เครื่องคำนวณปาสคาลที่คิดค้นโดยเบลส ปาสคาล

        การพัฒนาเครื่องคำนวณเป็นไปอย่างต่อเนื่องและน่าสนใจ เราสามารถแบ่งลักษณะของเครื่องคำนวณที่สร้างสร้างขึ้นได้เป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรกที่เครื่องคำนวณมีการทำงานเป็นกลไกแบบเครื่องจักรกลและค่อยๆ พัฒนาถึงปัจจุบันคือช่วงที่เครื่องคำนวณหรือเครื่องคอมพิวเตอร์มีการทำงานโดยใช้ไฟฟ้าทั้งหมด
        ในช่วงแรกที่มีการพัฒนาเครื่องคำนวณที่ทำงานแบบเครื่องจักรกล เครื่องคำนวณที่มีชื่อเสียงใช้คำนวณการบวกลบเลขที่แท้จริง ชื่อว่า เครื่องคำนวณปาสคาล (Pascal calculator) ทีประดิษฐ์ขึ้นโดยนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อ เบลส ปาสคาล (Blaise Pascal) และต่อมานักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ กอดฟริด ฟอน ไลบ์นิช (Gottfried Von Leibnitz) ได้ประดิษฐ์เครื่องคำนวณที่มีความสามารถในการคูณ หาร และหารากที่สองได้ ชื่อว่าเครื่องคำนวณสเต็ป เรคคอนเนอร์ (Stepped Reckconer)

3.Stepped-Reckconer
เครื่องคำนวณสเต็ป เรคคอนเนอร์

        เมื่อความรู้ด้านคณิตศาสตร์พัฒนาต่อไป นักคณิตศาสตร์ต้องการเครื่องมือที่มีความสามารถมากขึ้นเพื่อช่วยในการคำนวณ ในปี พ.ศ. 2343 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อว่าชาร์ลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาเครื่องคำนวณที่เรียกว่าดิฟเฟอร์เรนซ์เอนจิน (difference engine) ที่สามารถคำนวณตัวเลขของตารางคณิตศาสตร์ เช่น ตรีโกณมิติและลอการิทึมได้และต่อมาได้พัฒนาเป็นเครื่องคำนวณที่มีหลักการทำงานใกล้เคียงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน โดยนำบัตรเจาะรูเข้ามาช่วยในการทำงาน ตั้งแต่ควบคุมกระบวนการทำงาน

4.Difference-engine
เครื่องดิฟเฟอร์เรนซ์เอนจิน

        จนกระทั่งใช้เป็นหน่วยความจำ และมีวงล้อหมุนเรียกว่ามิล (mill) เป็นหน่วยคำนวณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ เครื่องคำนวณแบบนี้ถือได้ว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกและมีชื่อว่าแอนาไลติคอลเอนจิน (analytical engine) จากนั้นมา การพัฒนาเครื่องคำนวณยังคงมีต่อมาเรื่อยๆ จนมีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ไฟฟ้าในการทำงาน โดยเริ่มต้นใช้หลอดสูญญากาศเป็นองค์ประกอบของวงจรไฟฟ้า และจุดนี้เองนับเป็นจุดเริ่มต้นในการนับแบ่งยุคของคอมพิวเตอร์ เป็นคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ที่เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ล้วนๆ และถ้าแบ่งยุคของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นี้ออกตามลักษณะโครงสร้างและเทคโนโลยีจะแบ่งได้ดังต่อไปนี้

5.Analytical-engine
เครื่องแอนาไลติคอลเอนจิน

6.Punched-cards
บัตรเจาะรู

1.ยุคหลอดสูญญากาศ
        ยุคนี้อยู่ระหว่าง พ.ศ.2488 – 2501 เครื่องคอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้ หลอดสูญญากาศ (vacuum tube) ซึ่งเป็นอุปกรณ์เล็กทรอนิกส์ขนาดเท่าหลอดไฟฟ้าตามบ้านเป็นองค์ประกอบหลักของวงจรไฟฟ้า และใช้บัตรเจาะรูในการเก็บข้อมูลและคำสั่งที่ให้คอมพิวเตอร์ทำงาน และใช้ดรัมแม่เหล็ก (magnetic drum) เป็นหน่วยความจำหลัก ดรัมแม่เหล็กทำด้วย วงแหวนแม่เหล็กขนาดเล็ก ๆ เท่าหัวเข็มหมุดจำนวนมากมาย วงแหวนเหล่านี้ถูกร้อยด้วยเส้นลวดเล็ก ๆ เหมือนการร้อยลูกปัด หรือ หน้าต่างมุ้งลวดที่มีวงแหวนคล้องอยู่ที่จุดตัดของเส้นลวด หน่วยความจำหลักนี้จะเก็บข้อมูลเฉพาะในขณะที่มีการประมวลผลเท่านั้น คอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีความเร็วในการทำงานอยู่ในหน่วยหนึ่งในพันวินาที (millisecond)

7.vacuum-tube
หลอดสูญญากาศ

        ในระยะแรก จุดประสงค์ของการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้เพื่อช่วยในงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ และเครื่องอมพิวเตอร์ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกมีชื่อว่า อินิแอค (Electronic Number Integrator and Calculator : ENIAC) ได้รับการพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2486 เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประกอบด้วยหลอดสูญญากาศประมาณ 18,000 หลอด ทำให้มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก ต่อมาในปี 18,000 หลอด ทำให้มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก ต่อมาในปี 2491 ได้มีการพัฒนาเครื่องอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถใช้งานทางธุรกิจ ชื่อว่า ยูนิแวค (Universal Automatic Company : UNIVAC) ทั้งนี้เพื่อใช้ช่วยในการสำรวจสำมะโนประชากร
        การสั่งงานคอมพิวเตอร์ยุคนี้ในระยะแรกจะใช้ภาษาเครื่อง ซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ทำให้ใช้งานลำบาก จึงได้มีการคิดค้นภาษาสัญลักษณ์ (symbolic language) ขึ้นช่วยงาน โดยใช้ภาษาชนิดเขียนคำสั่งเป็นภาษาอังกฤษก่อนและจึงใช้ตัวแปลภาษาแปลงเป็นภาษาเครื่องอีกครั้งหนึ่ง
        ปัญหาของคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสูญญากาศ นอกจากขนาดและน้ำหนักที่มากแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องความร้อน เนื่องจากหลอดดังกล่าวต้องใช้พลังงานสูงทำให้เกิดความร้อนจากการใช้งานสูง และไส้หลอดขาดง่าย ทำให้มีการพัฒนาอุปกรณ์อื่นขึ้นใช้งานแทน

2. ยุคทรานซิสเตอร์
        ยุคนี้อยู่ระหว่าง พ.ศ. 2502 - 2506 เครื่องคอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้ทรานซิสเตอร์ (transistor) เป็นองค์ประกอบหลักของวงจรไฟฟ้าแทนหลอดสูญญากาศ โดยผู้ที่คิดค้นทรานซิสเตอร์คือนักวิทยาศาสตร์สามคนของห้องปฏิบัติการเบลล์ (Bell Laboratories) แห่งสหรัฐอเมริกา ได้แก่ บาร์ดีน (J.Bardeen) แบรทเทน (H.W.Brattain) และชอคเลย์ (W.Shockley) การ
ใช้ทรานซิสเตอร์ในการผลิตคอมพิวเตอร์แทนหลอดสูญญกาศทำให้ตัวคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก โดยทรานซิสเตอร์ที่พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกมีขนาด 1 ใน 100 ของหลอดสูญญากาศเท่านั้น นอกจากขนาดเล็กแล้วยังมีคุณสมบัติที่ดีอีกหลายประการคือ ไม่เปลืองกระแสไฟฟ้า ไม่ต้องใช้เวลาอุ่นเครื่องเมื่อแรกเปิดเครื่อง ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์มี
ประสิทธิภาพและความเร็วเพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถบวกจำนวน 2 จำนวนได้ในเวลาประมาณหนึ่งในล้านวินาที (microsecond) โดยที่ทรานซิสเตอร์เป็นปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญยิ่ง จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามคนได้รับรางวัลโนเบล

8.Transistor-Computer
เครื่องคอมพิวเตอร์ทรานซิสเตอร์

9.Transistor
ทรานซิสเตอร์ (Transistor)

        นอกจากจะมีวิวัฒนาการเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ยังมีการพัฒนาภาษาที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อีกด้วย ในยุคนี้มีการใช้ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้คำย่อเป็นคำสั่งแทนรหัสตัวเลข ทำให้การเขียนโปรแกรมสะดวกขึ้น หลังจากนี้ก็มีการพัฒนาภาษาระดับสูง คือ ภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้ง่าย เช่นในกลางปี พ.ศ. 2498 เริ่มมีการใช้ภาษาฟอร์แทรน (FORmular TRANstator : FORTRAN) ในงานทางด้านคณิตศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2502 มีการพัฒนาภาษาโคบอล (Common Business Oriented Language : COBOL) ใช้ในทางด้านธุรกิจ ทั้งสองภาษานี้ยังมีใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ถึงปัจจุบัน
        ในปี พ.ศ. 2505 มีการนำชุดจานแม่เหล็กที่ถอดเปลี่ยนได้มาใช้บันทึกข้อมูลแทนการใช้เทปแม่เหล็ก เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ยุคนี้ทำให้ค่าใช้จ่ายในการใช้คอมพิวเตอร์ถูกลง และทำให้ธุรกิจต่าง ๆ เริ่มนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในกิจการมากขึ้น

3. ยุควงจรรวม
        ยุคนี้อยู่ระหว่าง พ.ศ. 2507 – 2512 เป็นยุคที่มีการพัฒนาวงจรไอซี (Integrated Circuit : IC) ซึ่งเป็นการบรรจุวงจรอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากลงบนแผ่นซิลิคอนเล็ก ๆ เช่น แผ่นซิลิคอนขนาดเล็กกว่า 1/8 ตารางนิ้ว สามารถบรรจุชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้หลายร้อยวงจร ไอซีจึงเข้ามาทำ หน้าที่แทนทรานซิสเตอร์ เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่น 4 ประการคือ
        3.1 มีความเชื่อถือได้ หมายความว่า ไม่ว่าจะใช้งานกี่ครั้งกี่หน ก็จะได้ผลออกมาเหมือนเดิม คอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสูญญากาศจะเกิดการขัดข้องโดยเฉลี่ยแล้วทุกๆ 15 วินาที ส่วนไอซีมีปัญหาเช่นนี้น้อยมาก คือ 1 ครั้ง ใน 23 ล้านชั่วโมง
        3.2 มีความกระชับ เนื่องจากวงจรได้ถูกย่อส่วนให้เล็กทำให้อุปกรณ์มีขนาดเล็กกระทัดรัด มีความเร็วในการทำงานเพิ่มมากขึ้น
เพราะวงจรอยู่ใกล้กันมากระยะเวลาในการเดินทางของกระแสไฟฟ้าจะน้อยลง
        3.3 ราคาถูก เนื่องจากมีการผลิตเป็นปริมาณมาก ๆ ทำให้ต้นทุนถูกลง
        3.4 ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย ทำให้ประหยัด

10.IC
เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุควงจรรวม

11.IC
วงจรรวม (Integrated Circuit : IC)

        ใน พ.ศ. 2507 บริษัทไอบีเอ็ม นำคอมพิวเตอร์รุ่น 360 ออกสู่ตลาด ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มยุคที่สามของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์รุ่น 360 นี้ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานได้ทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางธุรกิจที่ใช้หลักการซึ่งมีลักษณะเด่นหลายประการ เช่น ประการแรกเครื่องรุ่นนี้มีด้วยกันหลายแบบตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ แต่ละแบบใช้ภาษาเดียวกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนจากเครื่องเล็กเป็นเครื่องใหญ่ได้ง่าย ประการที่สองเครื่องรุ่นนี้เริ่มนำระบบปฏิบัติการขนาดใหญ่มาใช้เป็นตัวกลางในการควบคุมการติดต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ

4. ยุควีแอลเอสไอ
        จากวงจรไอซีได้มีการพัฒนาวงจรรวมความจุสูงหรือแอลเอสไอ (Large Scale Integrated Circuit : LSI) ขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2513 ทำให้สามารถบรรจุวงจรทรานซิสเตอร์จำนวนหลายพันตัวลงบนแผ่นซิลิคอนขนาด 1/6 ตารางนิ้ว นับเป็นการเริ่มยุคที่สี่ของคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ระหว่าง พ.ศ.2513 – 2532 และในปี พ.ศ. 2518 สามารถเพิ่มปริมาณวงจรหลายหมื่นวงจรลงบนซิลิคอนขนาดเท่าเดิม เรียกว่า วงจรรวมความจุสูงมากหรือวีแอลเอสไอ (Very Large Scale Integrated Circuit : VLSI) จากการประดิษฐ์วีแอลเอสไอสามารถนำมาสร้างเป็นไมโครโพรเซสเซอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู (Central Processing Unit : CPU) ของคอมพิวเตอร์ และสามารถลดขนาดของคอมพิวเตอร์ให้เล็กลงจนสามารถตั้งบนโต๊ะทำงานในสำนักงาน หรือพกพาไปในที่ต่างๆ เหมือนกระเป๋าหิ้วได้ เรียกเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เกิดในยุคนี้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์(microcomputer) นอกจากนี้ ยังสามารถนำวงจรวีแอลเอสไอมาสร้างเป็นหน่วยความจำรองที่สามารถเก็บข้อมูลในระหว่างที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ ทำให้ได้หน่วยความจำที่มีความจุมากขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานของคอมพิวเตอร์ยุคนี้จะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนคอมพิวเตอร์นอกจากช่วยงานคำนวณแล้วยังสามารถทำงานเฉพาะทางอื่นๆ ได้มากกว่าช่วยงานคำนวณ เช่น การนำเสนอข้อมูลแบบสื่อประสม

12.Personal-Computer
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer)

13.Microprocessor
ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor)

        วงจรวีแอลเอสไอที่รวมทรานซิสเตอร์ได้นับพันตัวไว้บนแผ่นซิลิคอนที่มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับมือคนนอกจากการพัฒนาในระบบฮาร์ดแวร์แล้ว ในยุคนี้ยังมีการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ให้มีขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการที่มีการติดต่อกับผู้ใช้ในรูปของกราฟิกที่เรียกว่าจียูไอ (Graphic User Interface : GUI) แทนการติดต่อแบบรายคำสั่ง (command line interface)ที่เป็นการพิมพ์คำสั่งทีละคำสั่งเพื่อสั่งงานคอมพิวเตอร์ทำงานเช่นในอดีต ปัจจุบันเริ่มมีการใช้เมาส์ในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ และยังมีการพัฒนาซอฟต์แวร์สำเร็จช่วยงานจำนวนมาก ทั้งที่เป็นงานสำนักงานทั่วไปและงานเฉพาะทาง เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน ซอฟต์แวร์นำเสนอ ซอฟต์แวร์เหล่านี้ก็จะมีการติดต่อกับผู้ใช้แบบจียูไอ ทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น การใช้งานคอมพิวเตอร์จึงได้รับความนิยมสูงขึ้นมากในยุคนี้

5. ยุคเครือข่าย
        หลังจากที่มีการคิดค้นวงจรวีแอลเอสไอขึ้นแล้วใช้หน่วยประมวลผลกลางและหน่วยความจำหลักในคอมพิวเตอร์แล้ว การพัฒนาวงจรวีแอลเอสไอก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จนในปัจจุบันสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ลงบนแผ่นซิลิคอนขนาดเล็กเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทุกๆ 18 เดือน เป็นผลให้คอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อคอมพิวเตอร์ใน
ปัจจุบันสามารถทำงานได้เร็วขึ้นประมวลผลข้อมูลได้ทีละมากๆ ทำงานได้หลายงานพร้อมกัน รวมทั้งสามารถแสดงผลในรูปของสื่อประสมได้ ความนิยมนำคอมพิวเตอร์มาช่วยงานจึงขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วและในทุกวงการ ยุคนี้จะมีความพยายามในการ
        ประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์กับงานหลายประเภท เช่น มีความพยายามนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการในแขนงที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง
        นอกจากนี้ ในยุคนี้ก็มีการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันอยู่ในเครือข่ายสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ โดยเริ่มจากการทำงานเป็นกลุ่ม (work group) โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ในกลุ่มเดียวกันสามารถใช้อุปกรณ์รอบข้าง เช่น เครื่องพิมพ์ร่วมกันได้ สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่อยู่ในเครื่องอื่นในกลุ่มได้ โดยใช้เครือข่ายท้องถิ่น ซึ่งจะเชื่อมคอมพิวเตอร์นับร้อยเครื่องที่อยู่ภายในบริเวณเดียวกัน เช่น ในอาคารเดียวกัน หรือระหว่างอาคารที่อยู่ในรั้วเดียวกันเข้าด้วยกันจากความสะดวกของการทำงานบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำให้เทคโนโลยีนี้ได้รับความนิยมสูงมาโดยตลอด มีผลให้การพัฒนาและการประยุกต์ใช้งานบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาก ไม่ว่าจะเป็นการจัดการข้อมูลหรือการคิดคำนวณ ดังจะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาขีดความสามารถของอุปกรณ์ต่อเชื่อมในเครือข่าย เช่น มีการพัฒนาสายเชื่อมโยงให้มีความทนทานและสามารถส่งข้อมูลได้มากขึ้น การพัฒนาขีดความสามารถของเครื่องแม่ข่ายในระบบให้มีหน่วยความจำมากขึ้นและประมวลผลได้เร็วขึ้น

แหล่งที่มา:http://www.com5dow.com